สิวอักเสบเกิดจากอะไร สิวอักเสบ (Inflammatory Ance) เกิดจากปฎิกิริยาของผิวหนังต่อสิ่งแปลกปลอม ที่มีเชื้อแบคทีเรียกชื่อว่า C.acnes เป็นปัจจัยที่สำคัญ โดย C.Acnes มีเอนไซม์ lipase ย่อยไขมันจนเกิดเป็นกรดไขมัน (free fatty acid) ออกมาข้างนอกบริเวณผิวหนัง กระตุ้นให้เกิดการอักเสบและ C.acnes ยังกระตุ้นให้มีการหลั่ง protease cytokines ที่ทำให้เกิดการอักเสบเช่นกัน แบคทีเรียชนิดนี้มักพบในต่อมไขมัน สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ
1. สิวตุ่มแดง (Papule) จะเป็นสิวหัวแดง หรือสิวแดงกลมๆขนาดเล็กไม่เกิน 0.5 ซม. เมื่อสัมผัสหรือลูบที่หน้าจะรู้สึกเป็นนูนๆไตแข็งๆใต้ผิวหนัง ผิวไม่เรียบเนียน ไม่มีหัวหรือหนอง รู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อสัมผัส อาจเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อแบคทีเรียผสมกับการอุดตันของรูขุมขน หรือพัฒนาจากสิวอุดตันที่ถูกรบกวนจากการสัมผัส กด บีบ แคะ หรือ แกะ ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในรูขุมขนที่กำลังเป็นสิวอุดตัน ทำให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ
วิธีรักษาสิวตุ่มแดง ทำได้ง่ายๆ ด้วยการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ควรกด หรือบีบด้วยตัวเองเพราะจะทำให้มีหัวหนอง หากเป็นมากควรปรึกษาแพทย์
2. สิวหัวหนอง (Pustule) มีลักษณะเป็นตุ่มสิวแดงๆ ตรงกลางจะมีจุดสีขาวเหลือง ซึ่งจุดสีขาวเหลือง คือหนองที่เกิดภายใต้ผิวหนัง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บเพียงเล็กน้อย สิวหัวหนองเกิดจากทั้งแบคทีเรียพร้อมกับการอุดตันของรูขุมขน หรืออาจพัฒนามาจากสิวอุดตัน ที่ถูกรบกวนจากการสัมผัส แกะ บีบ ต่างกันเพียง สิวหัวหนองต้องเกิดการติดเชื้อไปสักระยะหนึ่ง จนหนองก่อตัวขึ้นมาที่ใต้ผิวหนัง
วิธีรักษาสิวหัวหนอง คือการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ควรกด หรือบีบด้วยตัวเองเพราะจะทำให้มีหัวหนอง หากเป็นมากควรปรึกษาแพทย์
3. สิวหัวช้าง หรือสิวตุ่มแดงใหญ่ (Nodule) มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดใหญ่ เวลาสังเกตหรือสัมผัสจะรู้สึกว่ามีก้อนขนาดใหญ่อยู่ใต้ชั้นผิวหนัง เมื่อสัมผัสผิวหนังบริเวณที่อักเสบจะรู้สึกแข็งเป็นไต สาเหตุของการเกิดสิวหัวช้างมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ลุกลามเข้าไปถึงชั้นผิวหนังที่ลึกขึ้น ทำให้กลายเป็นสิวหัวช้างที่มีการอักเสบรุนแรง สามารถลุกลามให้เกิดการอักเสบได้โดยไม่จำเป็นต้องมีหัวสิว
วิธีรักษาสิวหัวช้าง ไม่ควรรักษาเองด้วยการกด หรือบีบ เพราะอาจจะกลายเป็นหลุมสิวขนาดใหญ่ หรือสิวกระจายตัวอักเสบใต้ผิวหนังมากกว่าเดิม ดังนั้นควรไปพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและทำการรักษา