ฉีดวิตามินผิว ดียังไง ข้อดีและข้อเสียของการฉีดวิตามิน

ฉีดวิตามินผิว ช่วยให้ผิวกระจ่างใสจริงไหม? การฉีดวิตามินผิวคืออะไร? ปัจจุบันการฉีดวิตามินผิวกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้น กับใครหลายๆคนที่อยากมีผิวสุขภาพดี แต่ว่าควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมให้ดีก่อนทั้ง ข้อดีและข้อเสียของการฉีดวิตามินผิว

การฉีดวิตามินเข้าสู่ผิว เป็นกระบวนการนำวิตามินเข้าสู่ผิวหนังผ่านการฉีด โดยจะเป็นสารสกัดวิตามินเข้มข้นเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง เพื่อเข้าไปซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย และยังช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรง เสริมภูมิต้านทาน สร้างคอลลาเจนให้ผิวกลับมาสดใสมากยิ่งขึ้น

การฉีดวิตามินผิวมีประโยชน์มากมาย รวมถึงการบำรุงผิวพรรณให้ดูกระจ่างใส ลดการเกิดริ้วรอย และการฉีดวิตามินยังสามารถช่วยลดรอยแผลเป็น รอยแตกลาย ฟื้นฟูผิวที่มีปัญหาบางอย่างและจุดด่างแห่งวัยได้อีกด้วย นอกจากนี้ การฉีดวิตามินผิวยังเหมาะสมกับผู้ที่อยากกู้ผิวอย่างเร่งด่วนพักผ่อนน้อย เป็นหวัด โรคภูมิแพ้ เพราะวิตามินผิวจะช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนซึ่งสามารถช่วยปรับปรุงความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวได้ด้วยเช่นกัน

• ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูร่างกาย และสภาพผิวอย่างเร่งด่วน
• ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นหวัด โรคภูมิแพ้
• ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว

ก่อนตัดสินใจฉีดวิตามินผิว ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เพื่อประเมินความเหมาะสม และผู้ที่ไม่ควรฉีดวิตามินผิว หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคไต โรคตับ ผู้ที่แพ้ยา หรือสารเคมี ผู้ที่กำลังทานยาบางชนิดเป็นต้น

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของการฉีดวิตามินผิวหนัง คือรอยแดงและบวมบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำบริเวณผิวที่ถูกฉีดวิตามิน ในบางกรณี การฉีดวิตามินผิว อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการแพ้ขั้นต้นอย่าง คัน ผื่นขึ้น ไปจนถึงอาการแพ้ขั้นรุนแรง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีอาการแพ้ใดๆ และควรศึกษาข้อมูลให้แน่ชัดวิตามินที่ฉีดเข้าไปมีอะไรบ้าง และต้องมั่นใจว่าจะไม่เกิดผลกระทบกับร่างกายของเราก่อนการตัดสินใจฉีดวิตามิน

1. ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวกระจ่างใส
2. ช่วยแก้ปัญหาผิวมีริ้วรอย สีผิวหมองคล้ำ และขาดความยืดหยุ่น
3. มีให้เลือกหลายสูตร สามารถเลือกสูตรวิตามินที่เหมาะกับความต้องการได้มากที่สุด

1. การฉีดวิตามินผิวอาจมีราคาแพง ค่าใช้จ่ายจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดและความเข้มข้นของวิตามินที่ใช้ รวมถึงจำนวนครั้งในการฉีด
2. การฉีดวิตามินผิว อาจทำให้เจ็บปวดได้ เข็มที่ใช้ฉีดอาจทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดรอยช้ำได้
3. มีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวิตามินผิว ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ รอยแดง บวม และรอยช้ำบริเวณที่ฉีด และความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น การติดเชื้อ
4. การฉีดวิตามินผิวจะได้ผลลัพธ์ในระยะเวลาสั้นๆ ผลของการฉีดจะคงอยู่เพียงไม่กี่เดือน อาจจะต้องฉีดเป็นประจำ
5. การฉีดวิตามินผิวไม่เหมาะสมกับ ใครที่อาการป่วยบางอย่าง เช่น เบาหวานหรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง

ที่จริงแล้ว เพียงแค่เราปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็สามารถมีผิวที่สุขภาพดีเนียนใสได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องฉีดวิตามินเข้าสู่ผิวแม้แต่น้อย เพราะวิตามินหลายชนิดก็ถูกนำมาเป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวชนิดต่างๆ ซึ่งเราสามารถใช้บำรุงและฟื้นฟูผิวเราได้ทุกวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าร่างกายจะได้รับวิตามินมากเกินไป และช่วยลดโอกาสเกิดอาการแพ้จากวิตามินเข้มข้นได้อีกด้วย เช่น

1. การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน

จะช่วยปกป้องผิวจากการถูกแสงแดดทำร้ายได้ ซึ่งหลายๆ ปัญหาผิวเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเพราะมีสาเหตุจากการที่ผิวถูกแสงแดดกระตุ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ ครีมกันแดดที่เลือกใช้จึงไม่ควรแค่ปกป้องแสงแดดได้แต่ควรช่วยบำรุงและดูแลในการรับมือกับผิวหมองคล้ำและฝุ่น PM2.5 ที่สามารถก่อปัญหาผิวอื่นๆได้ อย่าง Eucerin Ultra Protection Glowing UV Serum ผลิตภัณฑ์เซรั่มกันแดด SPF50+ PA++++ ที่มีเนื้อกันแดดเบาบาง และยังมี Niacinamide (หรือ Vitamin B3) ที่ช่วยบูสท์ผิวให้โกลว์ใสขึ้น พร้อมปกป้องผิวจาก รังสีอัลตราไวโอเลต UVA UVB และ HEVIS Light ด้วย Advanced UV Filter และ Licorice extract ลดเลือนเซลล์ผิวคล้ำเสีย ให้ผิวกระจ่างใส เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้า ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน และยังมี DPF Technology เพื่อปกป้องผิวจากฝุ่นมลภาวะ ลดการเกาะติดของฝุ่นมลภาวะขนาดเล็กอย่างฝุ่น PM 2.5 ที่เป็นต้นเหตุของผื่นแพ้ฝุ่น

2. การบำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส

อย่างการใช้เอสเซ้นส์ Eucerin SPOTLESS BRIGHTENING BOOSTING ESSENCE น้ำตบ บูสติ้งเอสเซนส์ ที่ใช้ในขั้นตอนแรกหลังล้างหน้าเพื่อผิวดูกระจ่างใส ปลอบประโลมผิวที่ผ่านมลภาวะต่างๆให้ดีขึ้นด้วย Panthenol และเพิ่มเติมความชุ่มชื้นของผิวหน้าด้วย Hyaluronic Acid ให้ผิวหน้าอิ่มฟูเตรียมพร้อมสำหรับครีมบำรุง และช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำให้กระจ่างใสด้วย ไทอามิดอล (Thiamidol™) ที่ช่วยตัดตอนรอยดำลึกถึงจุดกำเนิด ด้วยกลไกที่สำคัญที่สุด ช่วยให้ผิวดูกระจ่างใสภายใน 2 สัปดาห์ ตัวช่วยบูสผิวใสให้ชุ่มชื่น เพื่อผิวดูอิ่มฟู โกลว์ใส ดูเรียบเนียนและสุขภาพดี

3. การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้กระจ่างใส

การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้กระจ่างใส อย่าง Eucerin SPOTLESS BRIGHTENING BOOSTER SERUM ที่มีสารไทอามิดอล THIAMIDOL™ สารไบรท์เทนนิ่งประสิทธิภาพดีที่สุดจากยูเซอริน ที่ช่วยตัดตอนรอยดำลึกถึงจุดกำเนิด ด้วยกลไกที่สำคัญที่สุด สำหรับลดเลือนฝ้า กระ จุดด่างดำต่างๆ ฝ้าแดดหนาลึกดูลดเลือนได้มากถึง 75% และช่วยจบปัญหารอยดำและจุดด่างดำทุกประเภท ปรับให้ผิวดูกระจ่างใสไม่กลับมาเป็นซ้ำ ที่มาพร้อมกับ HYALURON ตัวช่วยฟื้นบำรุงสภาพผิว ที่มีโมเลกุลเล็กกว่า 40 เท่า จึงนำพาสารไทอามิดอลซึมซาบเข้าจัดการจุดด่างดำได้ลึกและตรงจุด และยังมีสาร ลิโคชาลโคน เอ สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Ascorbic Acid 1.5 เท่าและสูงกว่า Niacinamide ถึง 5 เท่า++ ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิวจากการระคายเคือง และลดการเกิดรอยดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถสามารถใช้ทาผิวหน้าได้ทั้งในช่วงเช้าและกลางคืน เพื่อการดูแลแบบครบครัน

1. การพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยชะลอผิวจากความร่วงโรย เพราะในขณะที่เรานอนหลับ ผิวจะมีกระบวนการซ่อมแซมตัวเองตามธรรมชาติ การนอนที่จะช่วยซ่อมแซมผิวอย่างมีประสิทธิภาพควรจะนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง และควรเข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม เพราะในช่วงเวลานี้จะเริ่มมีการฟื้นฟูสภาพร่างกาย
2. การรับประทานอาหารที่มีวิตามินและดื่มน้ำมาก ๆ ควรรับประอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักและผลไม้ เพราะผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส อาหารที่มีวิตามินอี เช่น ธัญพืชต่าง ๆ เพราะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน รวมทั้งอาหารประเภท Super Food เพื่อช่วยต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ก็ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำ เพราะกลไกทางธรรมชาติของผู้ชายนั้น น้ำในผิวจะระเหยออกมาได้ง่ายกว่าผู้หญิง จึงควรให้ความสำคัญกับการดื่มน้ำสะอาดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว