รังสีอัลตราไวโอเลต

รังสีอัลตราไวโอเลตคืออะไร ประโยชน์ของรังสียูวีและวิธีปกป้องผิว

อ่านแล้ว 2 นาที
แสดงบทความเพิ่มเติม

รังสีอัลตราไวโอเลตคืออะไร มารู้ประโยชน์และวิธีป้องกันต่อร่างกาย

รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพผิว หลายคนอาจเข้าใจว่าหากอยู่ในร่มจะสามารถหลีกเลี่ยงรังสีเหล่านี้ได้ แต่ในความเป็นจริง รังสี UV สามารถทะลุผ่านเข้ามาทำร้ายผิวได้แม้อยู่ภายในอาคารหรือบ้านก็ตาม นอกจากนี้ แสงพลังงานสูง หรือ High Energy Visible Light (HEV) จากหลอดไฟ หน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือ ยังส่งผลเสียต่อผิวโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับรังสีอัลตราไวโอเลตจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถป้องกันผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รังสีอัลตราไวโอเลต คืออะไร

รังสีอัลตราไวโอเลต UV คืออะไร?

รังสีอัลตราไวโอเลต (UltraViolet) หรือที่เรียกย่อว่า UV เป็นรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นระหว่าง 100 ถึง 400 นาโนเมตร ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตการมองเห็นของมนุษย์ (Visible Light) โดยมีชื่อภาษาไทยเรียกว่า รังสีเหนือม่วง รังสีอัลตราไวโอเลต UV แบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่: UVA, UVB และ UVC

  • UVA (ความยาวคลื่น 320 – 400 นาโนเมตร) สามารถทะลุเข้าสู่ผิวหนังชั้นลึก ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • UVB (ความยาวคลื่น 290 – 320 นาโนเมตร) มีพลังงานสูง ทำให้เกิดผิวไหม้แดดและเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนัง
  • UVC (ความยาวคลื่น 100 – 290 นาโนเมตร) ถูกชั้นโอโซนดูดซับไว้ ไม่สามารถทะลุถึงพื้นโลก

ในปัจจุบัน รังสี UV ที่มาถึงพื้นโลกประกอบด้วย UVA 90% และ UVB 10% ซึ่งสามารถส่งผลเสียต่อผิวได้หากไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสม สำหรับแสง UVC จากดวงอาทิตย์จะถูกกันจากชั้นโอโซนของบรรยากาศหมด จึงไม่ลงมาถึงโลกเรา

แหล่งที่มาของรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มาจากไหนได้บ้าง

  1. แสงจากดวงอาทิตย์
  2. หลอดไฟ Black light Blue (BLB) หรือแสงจากหลอดไฟต่างๆภายในบ้าน
  3. Short wave UV lamp ที่ใช้ในทางการแพทย์เพื่อฆ่าเชื้อโรค
  4. UV laser มีทั้งที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม การแกะสลัก ทางการแพทย์ และอื่นๆ
  5. แสงที่ออกมากับการเชื่อมโลหะต่างๆ
  6. แสงจากจอคอมพิวเตอร์ หรือ แสงสีฟ้าที่ทะลุออกมาจากจอสกรีน

ประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)

แม้ว่ารังสี UV จะมีอันตรายในบางกรณีและควรป้องกันเพื่อไม่ให้ทำร้ายผิวของเรา แต่ก็มีประโยชน์มากมายในหลายด้าน เช่น 

  1. การสังเคราะห์วิตามินดี: เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสี UVB ในปริมาณที่เหมาะสม ร่างกายจะสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้ ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน
  2. การบำบัดรักษาโรคผิวหนัง: การรักษาด้วยแสง (Phototherapy) ใช้รังสี UVA และ UVB ในการรักษาโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น
    • โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis)
    • โรคผิวหนังอักเสบ (Dermatitis)
    • โรคด่างขาว (Vitiligo)
  3. การฆ่าเชื้อโรค: รังสี UVC มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายจุลินทรีย์โดยการทำลายดีเอ็นเอของเชื้อโรค
    • การฆ่าเชื้อในน้ำ: ระบบบำบัดน้ำหลายแห่งใช้รังสี UV ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัวในน้ำดื่มและน้ำเสีย โดยไม่ต้องใช้สารเคมี
    • การฆ่าเชื้อในอากาศ: เครื่องฟอกอากาศและระบบปรับอากาศหลายระบบใช้หลอด UV เพื่อกำจัดเชื้อโรคในอากาศ
    • การฆ่าเชื้อบนพื้นผิว: ใช้ในการฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล ห้องปฏิบัติการ และสถานที่ที่ต้องการความสะอาดสูง
  4. การเพาะปลูกพืช: ใช้แสง UV ในระดับที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชในโรงเรือน
  5. การป้องกันแมลงศัตรูพืช: หลอดไฟ UV ใช้ในการดึงดูดและกำจัดแมลงโดยไม่ต้องใช้สารเคมี
  6. การย่อยสลายสารพิษ: รังสี UV สามารถช่วยในการย่อยสลายสารพิษบางชนิดในสิ่งแวดล้อม

อันตรายของรังสีอัลตราไวโอเลตต่อสุขภาพและผิวหนัง

รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) แม้จะมีประโยชน์หลายด้าน แต่การได้รับในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผิวหนังและดวงตา เราสามารถแบ่งอันตรายเหล่านี้ตามประเภทของผลกระทบ ดังนี้

 

ผลกระทบระยะสั้น

  1. การไหม้แดดจากแสงแดด (Sunburn) เมื่อผิวหนังได้รับรังสี UV มากเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ จะเกิดการอักเสบที่เรียกว่า "ผิวไหม้แดด" ซึ่งเราอาจไม่รู้สึกถึงอันตรายในขณะที่กำลังถูกแสงแดด เพราะอาการไม่ปรากฏทันที ทำให้หลายคนอยู่กลางแดดนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว
  2. การแพ้แสง (Photodermatosis) บางคนมีความไวต่อรังสี UV มากกว่าปกติ หรืออาจแพ้แสงเมื่อใช้ยาบางประเภท ซึ่งเรียกว่า "Photosensitivity" โดยมีอาการผื่นแดง คัน ผิวหนังลอก

 

ผลกระทบระยะยาว

  1. ริ้วรอยก่อนวัย (Photoaging) การได้รับรังสี UV สะสมเป็นเวลานานจะเร่งกระบวนการเสื่อมของผิวหนัง ทำให้เกิด ริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น ผิวหนังหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น จุดด่างดำ กระบวนการนี้เกิดจากรังสี UV ทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นโปรตีนที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง
  2. มะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดของรังสี UV คือความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง เนื่องจากรังสี UV สามารถทำลายดีเอ็นเอของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดเซลล์กลายพันธุ์ได้

 

ผลกระทบต่อดวงตา

  1. รังสี UV สามารถทำอันตรายต่อดวงตาได้เช่นกัน โดยผลกระทบมีตั้งแต่ระยะสั้นจนถึงความเสียหายถาวร:
  2. เยื่อตาอักเสบจากแสง (Photokeratitis) เปรียบเสมือน "การไหม้แดดของดวงตา" มีอาการปวด แสบตา น้ำตาไหล ตาแดง และไวต่อแสง มักหายได้เองภายใน 24-48 ชั่วโมง พบบ่อยในผู้ที่อยู่บริเวณที่แสงจ้ามากเกินไปโดยไม่ใส่แว่นกันแดด หรือจากการเชื่อมโลหะโดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน
  3. ต้อเนื้อ (Pterygium) เนื้อเยื่อผิดปกติที่เจริญเติบโตจากเยื่อบุตาขาวเข้าสู่กระจกตา มักพบในผู้ที่ทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน อาจทำให้สายตาผิดปกติและต้องผ่าตัดหากเข้าใกล้รูม่านตา
  4. ต้อกระจก (Cataracts) การได้รับรังสี UV สะสมเป็นเวลานานเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดต้อกระจก เลนส์ตาขุ่นมัว ทำให้การมองเห็นแย่ลง เป็นสาเหตุหลักของภาวะตาบอดที่รักษาได้ทั่วโลก
  5. จุดรับภาพเสื่อม (Macular Degeneration) การเสื่อมของจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา ทำให้การมองเห็นตรงกลางแย่ลง ซึ่งจำเป็นสำหรับการอ่าน การขับรถ และการจดจำใบหน้า รังสี UV เป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจเร่งให้เกิดโรคนี้เร็วขึ้น

ปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต อย่างไรดี ?

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารให้ความกระจ่างใสอย่างไทอามิดอล

  1. ใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพสูง
    • เลือกครีมกันแดดที่สามารถปกป้องทั้ง UVA, UVB และ HEV ได้ เช่น ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Broad-Spectrum Oxidant ซึ่งช่วยป้องกันการทำร้ายผิวจากรังสี UV และลดผลกระทบจาก HEV Light
    • ควรเลือกครีมกันแดดที่มีคุณสมบัติให้ความกระจ่างใสและปกป้องผิวจากมลภาวะ
  2. เลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูผิว
    • ครีมกันแดดที่มีสารสำคัญ เช่น ไทอามิดอล (Thiamidol) สามารถช่วยลดเลือนจุดด่างดำและปรับสีผิวให้กระจ่างใส
  3. ใช้ครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม
    • ปริมาณที่แนะนำสำหรับบริเวณใบหน้าและลำคอ คือ 2 ข้อนิ้วมือ
    • ครีมกันแดดควรมีเนื้อบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมซาบเร็ว และต้องผ่านการทดสอบทางการแพทย์ว่าไม่อุดตันรูขุมขน

แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV

ปกป้องผิวบอบบางให้สุดขีดด้วย Eucerin Sun ULTRA 100 UV+ ครีมกันแดดที่ช่วยปกป้องผิวหน้า ด้วยค่า SPF 50+, PA++++ ที่ให้การปกป้อง UVA เหนือกว่า 2 เท่า ด้วยฟิลเตอร์ 7 ชนิดที่ปกป้องทั้ง UVA/UVB และแสงสีฟ้าในชีวิตประจำวัน พร้อมฟื้นฟูผิวด้วย Licochalcone A สารต้านอนุมูลอิสระที่ลดอนุมูลอิสระถึง 79% และ Glycyrrhetinic Acid ที่ซ่อมแซมและฟื้นฟูผิวลึกถึงระดับเซลล์ เนื้อบางเบา กันน้ำได้ ใช้ได้แม้หลังทำเลเซอร์ ไม่ก่อสิว ไม่ระคายเคือง ผู้ใช้ 98% ยืนยันเหมาะกับผิวบอบบาง และ 97% ยืนยันช่วยบรรเทาผิวระคายเคือง มั่นใจเต็มที่ทุกครั้งที่ต้องเจอแดด

กันแดดเนื้อน้ำ ปกป้องผิวจากรังสี UVA/ UVB และ Hevis Light ในทุกมิติ

การใช้ครีมกันแดด อย่างเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ จะช่วยปกป้องอันตรายจากแสงแดดที่จะมาทำร้ายผิวหน้าของเราได้ โดยต้องเลือกผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดที่สามารถปกป้องรังสี UV ได้ทุกมิติอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าง Eucerin Sun Protection Hydro Protect กันแดดเนื้อน้ำ บางเบาซึมไวทันที ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะ ไม่อุดตัน ด้วย Hydro-tech Complex แต่สามารถปกป้องรังสี UVA/UVB และ Hevis Light (แสงสีฟ้า) ด้วยเทคโนโลยี Advanced Spectral Technology และผสาน Glycyrrhetinic acid ฟื้นบำรุง ระดับ DNA Protection เป็นอีกทางของการปกป้องผิวและลดการทำร้ายผิวจากแสงแดด ใช้ได้แม้ในผิวแพ้ง่าย

ครีมกันแดดทาหน้า

และขอแนะนำครีมกันแดดเนื้อบางเบา สำหรับคนผิวแพ้ง่าย แพ้ฝุ่นและมลภาวะควรใช้เซรั่มกันแดด Eucerin ULTRA PROTECTION GLOWING UV SERUM ผลิตภัณฑ์เซรั่มกันแดด SPF50+ PA++++ ที่มีเนื้อกันแดดเบาบาง พร้อมปกป้องผิวจาก รังสีอัลตราไวโอเลต UVA UVB และ HEVIS Light (แสงสีฟ้า) ด้วย Advanced UV Filter ผสานด้วย DPF Technology เพื่อปกป้องผิวจากฝุ่นมลภาวะ ลดการเกาะติดของฝุ่นมลภาวะขนาดเล็กอย่างฝุ่น PM 2.5 และยังช่วยบูสท์ผิวให้โกลว์ใส ด้วย Niacinamide และ Licorice extract ลดเลือนผิวคล้ำเสีย ให้ผิวกระจ่างใส เหมาะสำหรับใช้ก่อนแต่งหน้า ไม่ก่อให้เกิดสิวอุดตัน

บทความเกี่ยวข้อง

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง