ปัญหารอยผิวแตกลาย ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อความั่นใจของสาว ๆ เพราะทั้งรักษาให้หายยาก หากไปเลเซอร์ก็มีค่าใช้จ่ายสูง มีรอยที่ชัดเจนยากต่อการกลบหรือปกปิดด้วยรองพื้น ส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตอย่างการแต่งกาย เช่น ชุดว่ายน้ำ เสื้อครอป หรือกางเกงขาสั้น ทำให้หลายคนเลี่ยงที่จะไม่สวมชุดที่อยากใส่ เพราะไม่อยากเปิดโชว์ผิวที่แตกลายตามบริเวณต่าง ๆ บนร่างกาย
ผิวแตกลาย หรือ รอยแตกลาย คืออะไร
รอยแตกลาย หรือผิวแตกลาย (Stretch Marks or Striae ) คือ รอยแผลเป็นชนิดหนึ่งมักมีสีแดง สีม่วง สีชมพู สีน้ำตาลแดง ไปจนสีน้ำตาลเข้ม ขึ้นอยู่กับสีผิวของแต่ละคน รอยผิวแตกลายนั้นเกิดจากผิวหนังมีการยืด หรือหดตัวอย่างรวดเร็ว เพราะการเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้คอลลาเจนในผิวหนังถูกทำลายและฉีกขาด ทำให้เมื่อผิวหนังสมานตัวจึงเกิด “รอยแตกลาย” ซึ่งผิวแตกลายมักจะเกิดในบริเวณที่มีไขมันสะสมอยู่มาก เช่น บริเวณหน้าท้อง, หน้าอก, เต้านม, หัวไหล่, ต้นแขน, ต้นขา, สะโพก, ก้น และน่อง เป็นต้น
ประเภทของ รอยผิวแตกลาย
- Striae rubra มีลักษณะรอยแตกเป็นเส้นสีแดง ซึ่งเป็นรอยแตกลายในระยะแรก เส้นสีแดงอาจจะมีการนูนขึ้นจากผิวได้
- Striae alba มีลักษณะเป็นรอยแตกลายเส้นขนานสีขาว ซึ่งเป็นรอยแตกลายที่ยุบตัวลงบนผิวแล้ว เกิดจากรอยแตกลายสีแดงกลายมาเป็นสีขาว
- Striae distensae มีลักษณะเป็นลายเส้นขนานจากการยืด มักพบในคนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
- Striae atrophicans มีลักษณะเป็นลายเส้นขนาน พบได้ในคุณแม่หลังคลอด หรือคนที่น้ำหนักขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว
ใครที่มีโอกาสเป็นรอยแตกลาย
- เด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น เนื่องจากเป็นวัยที่กำลังโต จึงมีการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง และน้ำหนักอย่างรวดเร็ว
- คุณแม่หลังคลอด มักมีรอยแตกลายบริเวณหน้าท้อง ไปจนถึงเต้านม เนื่องจากฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง และขนาดท้องที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่เล่นเวท (Weight Training) มักพบรอยแตกลายที่ไหล่ เนื่องจากกล้ามเนื้อโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
10 วิธีรักษาและลดรอยผิวแตกลาย
1. เริ่มจากการดูแลตัวเองจากภายใน
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น วิตามินเอ, วิตามินซี, วิตามินดี, วิตามินอี, ผักผลไม้ รวมทั้งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ และถั่ว พยายามควบคุมปริมาณอาหารให้พอเหมาะต่อวัน เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสที่น้ำหนักจะขึ้น-ลงกระทันหัน ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 1-2.5 ลิตร/วัน เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิว ทั้งยังช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ผิวที่แตกลายไม่แห้ง นุ่นลื่นขึ้น และดูจางลง
2. ขัดสครับผิวเป็นประจำ
การขัดสครับผิวกายเป็นประจำทุกครั้ง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวเก่าออกไปแล้วกระตุ้นเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนผิวเดิม หากจะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีควรเลือกสูตรสครับจากสมุนไพรที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว สามารถลดปัญหารอยแตกลายได้
- สูตรมะนาวดินสอพอง นำน้ำมะนาวสดมาผสมกับดินสอพอง แล้วพอกบริเวณที่มีปัญหาผิวแตกลาย เนื่องจากมะนาวมีกรด AHA จากธรรมชาติ สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออก เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น สามารถช่วยให้ผิวแตกลายจางลงได้หากทำเป็นประจำ
- สูตรผงขมิ้นมะขาม นำผงขมิ้นมาผสมกับมะขามเปียกโดยไม่ต้องทิ้งใย แล้วนำมาขัดสครับผิว นอกจากจะทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รอยผิวแตกลายเบาบางลงด้วย
3. น้ำมันมะกอกลดรอยแตกลาย
น้ำมันมะกอกสามารถช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้นได้ เพราะอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินอี วิตามินดี และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเติมเต็มน้ำมันหล่อเลี้ยงผิว และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ที่ผิวได้ยาวนาน ก่อนชะโลมลงผิวแนะนำให้อุ่นน้ำมันมะกอกในไมโครเวฟ โดยใช้เวลาแค่ 2 - 3 วินาที แล้วนำมานวดบริเวณผิวที่มีรอยแตกลาย โดยไม่ต้องล้างออก
4. ไข่ขาวช่วยลดผิวแตกลาย
ไข่ขาวประกอบไปด้วยกรดอะมิโน และโปรตีน ทำให้เซลล์ผิวฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไข่ขาวทาบริเวณผิวแตกลาย รอจนแห้งติดผิว แล้วจึงล้างออก สามารถทำได้เป็นประจำทุกวัน
5. ทาครีมบำรุงผิวชุ่มชื้น
หมั่นทาครีมบำรุงที่มีความเข้มข้นสูงในบริเวณผิวแตกลายเป็นประจำทุกวันเช้า-เย็น เพื่อช่วยลดและป้องกันการเกิดรอยแตกลายที่ผิวหนัง ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้บริเวณที่ผิวแตกลายแห้งกร้าน เพราะอาจทำให้ผิวบริเวณอื่นแห้งตามไปด้วยได้
6. ครีมลดรอยแตกลาย
ควรใช้คู่ไปกับครีมทาผิวที่ใช้อยู่เป็นประจำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการช่วยให้รอยแตกลายจางลง แม้ผิวแตกลายจะไม่สามารถหายแบบถาวรได้แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาให้ดูจางลง โดยเลือกใช้ครีมลดรอยแตกลายที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ และกรดผลไม้ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และความยืดหยุ่นให้ผิว
7. อนุพันธ์วิตามินเอ (Retin A)
อนุพันธ์วิตามินเอ หรือเรตินเอ (Retin A) สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวได้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิวหนัง ทำให้รอยแตกลายดูจางลง ควรเลือกความเข้มข้นประมาณ 0.025% หรือ 0.05% แต่ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังก่อน เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือใช้ผิดวิธีอาจก่อให้เกิดอาการแพ้ได้
8. กรดเอเอชเอ (AHA) และ กรดบีเฮชเอ (ฺBHA)
การใช้กรดผลไม้ AHA และ BHA นั้นสามารถช่วยผลัดเซลล์ผิวได้ ทั้งยังช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมการสร้างเนื้อเยื่อใต้เชั้นหนังแท้ ทำให้ผิวดูเรียบเนีบยขึ้น รอยแตกลายดูจางลง หากใครที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังก่อนใช้
9. ไอพีแอล (Intensed Pulsed Light – IPL)
เป็นการใช้แสงความเข้มข้นสูง ยิงบริเวณผิวที่เป็นรอยแตกโดยเฉพาะ แต่จะได้ผลดีกับรอยแตกที่มีสีแดงหรือรอยแตกที่เพิ่งเกิดใหม่ ไม่เหมาะกับคนที่มีรอยแตกสีขาวที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เพราะจะไม่เห็นผล ควรทำอย่างน้อย 5 ครั้ง จึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของรอยแตกลายดีดูจางลง
10. เลเซอร์ลดรอยแตกลาย (Laser)
เป็นหัตถการการยิงเลเซอร์แบบเฉพาะจุดไปที่บริเวณชั้นผิว เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง ซึ่งเป็นวิธีที่เห็นผลไว แต่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน สามารถรักษาได้ทั้งรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้วจนถึงรอยแตกลายที่เพิ่งเป็น
- Beam Laser ช่วยทำลายเส้นเลือดในคนที่มีรอยแตกแดง เหมาะกับรอยแตกลายที่เพิ่งเกิดใหม่หรือรอยแตกลายเส้นสีแดง
- Fraxel Laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เหมาะกับรอยแตกลายที่เป็นมานานแล้ว
วิธีป้องกันผิวแตกลาย หรือรอยแตกลาย
- ควบคุมอาหารในปริมาณที่พอเหมาะไม่ให้น้ำหนักขึ้น-ลงเร็วจนเกินไป
- ไม่ปล่อยให้ผิวแห้งกร้าน ควรหมั่นทาครีมบำรุงผิวอยู่เสมอ
- คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ควรทาครีมบำรุงที่มีความชุ่มชื้นสูงในบริเวณที่มีโอกาสจะแตกลาย เช่น หน้าท้อง และบริเวณเต้านม
รอยแตกลายแม้จะรักษาให้หายถาวรไม่ได้ แต่สามารถรักษาให้จางลงได้ แต่จำเป็นต้องใช้เวลา รวมทั้งมีวินัยในการดูแลผิวอย่างเคร่งครัด อย่างการหมั่นทาครีมบำรุงผิว ทาครีมลดรอยแตกลายควรคู่ไปด้วยเป็นประจำทุกวันเช้า-เย็น และทำหัตการควบคู่ไปด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด
คำถามที่พบบ่อย (2)
-
รอยแตกลายสีขาว กับรอยแตกลายสีแดงต่างกันอย่างไร
รอยแตกลายสีขาว เป็นรอยแตกลายที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นหลังจาการเกิดรอยแตกลายสีแดง
-
รอยแตกลายสามารถหายได้ไหม
รอยแตกลายไม่สามารถหายถาวรได้ แต่สามารถช่วยบรรเทาให้ผิวแตกลายดูจางลง