ปัจจุบัน PRP เป็นนวัตกรรมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะการฉีด PRP เป็นการนำเกล็ดเลือดของตัวเองมาฉีดเข้าผิว และจะช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น ลดรูขุมขนกว้าง กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ PRP ยังสามารถฉีดที่บริเวณหนังศีรษะเพื่อบรรเทาปัญหาผมบางหรือผมร่วงได้อีกด้วย และการรักษาด้วย PRP นั้นเป็นใช้เกล็ดเลือดที่มาจากร่างกายของเราเอง จึงมีความปลอดภัยสูง และช่วยฟื้นฟูเซลล์จากภายในได้อย่างมีประสิทธิภาพ
PRP คืออะไร
PRP (PLATELET RICH PLASMA) คือ กระบวนการที่นำเลือดของผู้ป่วยเองมาผ่านกระบวนการ Centrifugation เพื่อแยกเกล็ดเลือดที่มีความเข้มข้นสูงออกมา เกล็ดเลือดเหล่านี้อุดมไปด้วย Growth Factors ซึ่งเป็นกลุ่มโปรตีนประเภทหนึ่งที่มีอยู่ในร่างกาย มีหน้าที่ไปกระตุ้นให้เซลล์ กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนให้ร่างการของเราซ่อมแซมตัวเองได้ดีมากขึ้น
PRP ช่วยแก้ปัญหาอะไรบ้าง
- ด้านความงาน ลดริ้วรอยและกระตุ้นความยืดหยุ่นของผิวรักษาหลุมสิวและรอยแผลเป็น กระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม
- ด้านสุขภาพ บรรเทาอาการบาดเจ็บของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ ช่วยรักษาข้อต่ออักเสบและปวดข้อ เร่งกระบวนการฟื้นฟูหลังการผ่าตัด
ขั้นตอนการทำ PRP
1. การเตรียมตัวก่อนการรักษา
ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปัญหาและความเหมาะสม งดอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด
2. ขั้นตอนการทำ
- เก็บตัวอย่างเลือด ประมาณ 10-30 มิลลิลิตร
- การปั่นแยกเกล็ดเลือด (Centrifugation) แยกเกล็ดเลือดเข้มข้นจากส่วนประกอบอื่น
- แพทย์จะฉีด PRP ที่บริสุทธิ์และมีความเข้มข้นสูง ไปในบริเวณที่ต้องการรักษา เช่น ใบหน้า ศีรษะ ข้อหรือกระดูก
3. หลังการทำ PRP
หลังการฉีด PRP อาจมีอาการบวมแดงหรือระคายเคืองผิวเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีด ควรหลีกเลี่ยงการแตะหรือสัมผัสผิวบริเวณที่ฉีด และควรหลีกเลี่ยงการออกแดดจัด หรือการทำทรีตเมนต์ที่มีความรุนแรงต่อผิว
การทำ PRP เหมาะกับใคร
- การทำ PRP เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มมีริ้วรอยบนใบหน้า ผิวขาดความยืดหยุ่น หรือผิวแห้งกร้านจากความเสื่อมของคอลลาเจน
- ผู้ที่มีปัญหาผมบางหรือผมร่วงโดยการฉีด PRP เข้าไปในบริเวณหนังศีรษะจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมใหม่ ฟื้นฟูการไหลเวียนเลือดในรูขุมขน และเสริมความแข็งแรงให้กับเส้นผมที่มีอยู่
- ผู้ที่มีอาการบาดเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อ, ข้อ, หรือเอ็นเล็กน้อย เพราะ PRP จะช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเสียหายและช่วยลดการอักเสบ ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และช่วยให้กระดูกหรือเอ็นหายเร็วขึ้น
ทำ PRP กี่วันเห็นผล
ผลลัพธ์จากการทำ PRP จะค่อยๆ แสดงให้เห็นผลภายในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการรักษาและปัญหาที่รับการรักษา โดยทั่วไปแล้วผลลัพธ์จากการฉีด PRP จะเริ่มเห็นหลังจากประมาณ 2-3 สัปดาห์ และจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วง 1-3 เดือน หลังจากทำการรักษา เนื่องจากกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ใหม่ๆ ด้วยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเซลล์ผิวหนังต้องใช้เวลาในการกระตุ้นให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ข้อดี-ข้อเสีย การทำ PRP มีอะไรบ้าง?
ข้อดี
- มีความปลอดภุยสูง เพราะใช้เลือดของตัวเอง ลดความเสี่ยงจากการแพ้
- ฟื้นฟูได้ทั้งด้านความงามและสุขภาพ
- ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อเสีย
- อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยหลังการฉีด
- ราคาค่อนข้างสูง
- การทำ PRP ถือเป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผิวกระจ่างใส อยากกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ให้แลดูอ่อนเยาว์ ด้วยความปลอดภัยสูงจากเกล็ดเลือกเราของเราเอง แต่สิ่งสำคัญเราควรควบคู่ไปกับการดูแลผิวอย่างการใช้ครีมบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพ และรวมถึงการดูแลผิวของตัวเองเป็นประจำทุกวัน
แนะนำผลิตภัณฑ์ที่ดูแลผิวที่ช่วยฟื้นฟูผิวและละริ้วรอยแห่งวัย
Eucerin Hyaluron-Filler Epicelline Serum
เพื่อคงผลลัพธ์ของการทำ PRP ให้ยาวนานมากยิ่งขึ้นการใช้ครีมบำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้นอย่าง Eucerin Hyaluron-Filler Epicelline Serum เซรั่มต่อต้านริ้วรอยใหม่ ที่ช่วยป้องกันและจัดการ 10 สัญญาณแห่งวัย ด้วยนวัตกรรม Age Clock Technology ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร พร้อมด้วยสาร Epicelline® ที่เป็นสารทรงพลังใหม่ล่าสุดในการต่อต้านความร่วงโรยแห่งวัย ที่ค้นพบโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของ Eucerin หลังจากการวิจัยเกี่ยวกับ Epigenetics อย่างต่อเนื่องกว่า 15 ปี ช่วยชะลอความร่วงโรยของผิว ทั้งริ้วรอย หน้าเหี่ยว ผิวไม่กระชับ และผิวที่ดูแห้งไม่ชุ่มชื้น เสริมประสิทธิภาพด้วย Hyaluronic Acid ที่ช่วยเติมเต็มร่องลึกและเพิ่มความนุ่มชุ่มชื้นให้กับผิว และสาร Glycine Saponin ที่ช่วยกระตุ้นการผลิตไฮยาลูรอนิก คอลลาเจน และเพิ่มอีลาสตินของผิวหนัง พร้อมด้วยสาร Enoxolone ที่ช่วยลดการเสื่อมสลายของกรดไฮยาลูโรนิก ทำให้ผิวหน้ากระชับและดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงภายใน 4 สัปดาห์ และยังช่วยฟื้นฟูผิวจากมลภาวะภายนอกอย่างฝุ่น และแสงแดดอีกด้วย
คำถามที่พบบ่อย (2)
-
PRP ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
การทำ PRP ควรทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน แนะนำควรทำ 3-5 ครั้ง ห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์ หรือขึ้นอยู่กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษาของแต่ละบุคคล
-
ฉีด PRP ห้ามกินอะไรบ้าง?
ควรงดแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และอาหารเสริม อย่างวิตามินอี หรือแอสไพริน เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น