เมื่อสิวหายแล้ว หลายๆ คนอาจชะล่าใจและละเลยการดูแลผิวหน้าอย่างถูกวิธี ซึ่งในความเป็นจริงวงจรปัญหาผิวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ รอยสิว หรือ รอยดำจากสิว เป็นปัญหาผิวที่เกิดตามมาภายหลัง และต้องการรักษาด้วยเช่นกัน แม้ว่า รอยสิว เหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง แต่ในเรื่องของจิตใจเมื่อเราสังเกตเห็นรอยสิวที่เกิดขึ้นบนผิวหน้า ความเครียดก็ตามมาแน่นอน ยิ่งเครียดสิวก็ยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง การเข้าใจสาเหตุของการเกิดรอยดำจากสิว จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับปัญหาผิวเหล่านี้ได้ทันทีและเข้าใจวิธีลดรอยดำจากสิวอย่างตรงจุดตั้งแต่ระยะแรกที่เริ่มเป็นสิว
รอยดำจากสิวเกิดจากอะไร ?
รอยดำจากสิว มีสาเหตุมาจากการอักเสบที่ใต้ชั้นผิวหนัง ซึ่งเป็นกลไกที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เป็นสิว โดยร่างกายจะมีการหลั่งสารอักเสบออกมาที่ใต้ผิวหนัง ส่งผลให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินเป็นจำนวนมากในบริเวณที่เกิดการอักเสบ เรียกว่า Post-Inflammatory Hyperpigmentation เกิดเป็นรอยดำและสีผิวไม่สม่ำเสมอ นอกจากนี้พฤติกรรมการแกะสิว บีบสิว ก็อาจทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นสิวเกิดการบวมแดงและอักเสบมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดรอยสิวหรือรอยแผลเป็นที่รักษาได้ยากขึ้น
โดยลักษณะความเข้มและสีของรอยดำจากสิว จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการอักเสบ ยิ่งอักเสบมาก รอยดำจากสิวก็ยิ่งเข้มและหายช้า ซึ่งโดยปกติสีของรอยสิวจะค่อย ๆ จางลงได้เองตามธรรมชาติ แต่อาจต้องใช้เวลานานถึง 3 เดือน หรือมากกว่านั้น การลดรักษารอยดำจากสิวจึงควรได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี ภายหลังจากการอักเสบของสิว
ประเภทของรอยสิวและสาเหตุของรอยสิว รอยดำและรอยแดงจากสิวต่างกันอย่างไร
สิวเป็นปัญหากวนใจสำหรับสาว ๆ อยู่แล้ว ยิ่งเวลาสิวหายก็มักทิ้งรอยสิว รอยแดงและรอยดำจากสิวเอาไว้ให้ดูต่างหน้า ทำให้สาว ๆ หลายคนต้องมองหาวิธีลดรอยดำจากสิว รักษารอยสิว ที่สามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่เราจะเริ่มทำการรักษาจะต้องทราบถึงความแตกต่างของรอยสิวทั้ง 2 ชนิดนี้ก่อน
รอยดำจากสิว
- เกิดจากเนื้อเยื่อถูกทำลายขณะที่เราเป็นสิว โดยผิวบริเวณนั้นยังมีการสร้างเนื้อเยื่อที่ไม่สมบูรณ์ และมีการรวมตัวของเม็ดสีจึงทำให้เกิดรอยดำจากสิวขึ้น
- มักเกิดภายหลังจากที่สิวอักเสบหายดีแล้ว
- แสงแดดมีส่วนทำให้รอยดำจากสิวมีสีเข้มขึ้น
รอยแดงจากสิว
- เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนเพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป และการอุดตันของน้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมไปถึงแบคทีเรียต่างๆ อาจจะทำให้ผิวหนังอักเสบจนกลายเป็นสิวอักเสบขึ้น
- เกิดการอักเสบบริเวณผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดจากการบีบ แคะ แกะสิวจนเกิดอาการบวบช้ำ ทำให้เกิดรอยแดงดังกล่าวขึ้น
รอยหลุมสิว
- รอยหลุมสิวเกิดจากสิวอักเสบ โดยเกิดจากกระบวนการที่ร่างกายของเราสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อขึ้นมาเพื่อรักษาแผลจากสิวอักเสบ แต่มักจะรักษาแผลได้ไม่สมบูรณ์
- สิวอักเสบบางชนิดทำเกิดความเสียหายที่ผิวชั้นล่างที่อยู่ลึกลงไป จนร่างกายสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อได้ไม่เพียงพอแก่การรักษาทั้งหมด ทำให้เกิดเป็นรอยหลุมสิวอยู่ที่ผิวหนังชั้นนอกของเราและรอยหลุมสิวสามารถแบ่งได้อีกหลายลักษณะ
10 วิธีการลดรอยดำจากสิว รักษารอยสิว รอยหลุมสิวให้หายไป
หลายคนคงจะทราบกันแล้วว่ารอยสิว รอยแดงและรอยดำจากสิว มีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้มีวิธีการดูแลรักษารอยสิวและรอยดำจากสิวและวิธีทำให้รอยสิวหายที่แตกต่างกันไปด้วย ซึ่งระยะเวลาการลดรอยดำจากสิวนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความเข้มของรอยสิวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยมีวิธีดังต่อไปนี้
1. ทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือเป็นการช่วยลดรอยดำจากสิวที่เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ๆจากภายใน โดยอาจเลือกทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากช่วยลดการอักเสบของสิวแล้วยังช่วยลดรอยดำจากสิวได้เช่นกัน
2. หลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว
ในขณะที่เราเป็นสิวควรหลีกเลี่ยงการแกะ แคะ หรือบีบสิว เพราะพฤติกรรมเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังมากขึ้น หรือทำให้สิวอักเสบกระจายไปบริเวณอื่นจนทำให้เกิดรอยสิวเยอะมากขึ้น ซึ่งหากเลี่ยงได้นอกจากช่วยลดการอักเสบแล้ว ยังช่วยให้การลดรอยดำจากสิวมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
3. เลเซอร์รักษารอยสิว
การรักษาปัญหารอยสิวด้วยเลเซอร์จะถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อมีปัญหารอยหลุมสิว ต้องการลดรอยแผลสิวหรือรอยดำจากสิวที่มีขนาดใหญ่และฝังลึกที่จัดการได้ยาก การเลเซอร์จะเป็นลักษณะของคลื่นพลังงานเข้มข้นที่เข้าไปทำลายเซลล์ผิวบริเวณหลุมสิว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ผิวขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยหลุมสิวดูตื้นขึ้น การรักษาด้วยแนวทางนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและควรดูแลผิวหน้าภายหลังการรักษา โดยไม่ควรทำอย่างต่อเนื่องเพราะอาจเกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง แพ้ง่าย ไวต่อแดด
4. การทำ Microneedling
การรักษาด้วยวิธี Microneedling จะเป็นการเจาะผิว ที่เป็นเทคนิคการรักษารอยหลุมสิวแบบ minimally invasive ที่ใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผิวหนังซ้ำๆ เพื่อกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินให้ผิวหนังสมานเข้าหากัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากสิว หรือผู้ที่เป็นหลุมสิว วิธีนี้ต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการรักษา
5. ฉีดวิตามินผิว
ฉีดวิตามินผิวเป็นการเติมสารอาหารเข้าสู่ผิวโดยตรง ช่วยให้เซลล์ได้รับสารบำรุงหรือวิตามินต่างๆที่จำเป็นในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ช่วยให้ลดรอยดำรอยแดงจากสิวได้เร็วขึ้นและสร้างคอลลาเจนเพื่อมาเติมหลุมสิวบริเวณนั้นๆ
6. ยาทาแผลเป็น
การใช้ยาทาแผลเป็น ช่วยในการรักษารอยแผลที่เหลืออยู่จากสิวได้ในบางรูปแบบ แต่การใช้ยาทาแผลเป็นลดรอยสิว ควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร เพราะยาทาแผลเป็นบางชนิดช่วยในการผลัดเซลล์ผิวด้วย อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือหน้าแห้งตามมาได้
7.ทรีตเม้นต์หรือเลเซอร์ลดจุดด่างดำและรอยสิว
การรักษารอยดำจากสิวหรือหลุมสิวด้วยการทำทรีตเม้นต์หน้าหรือเลเซอร์ลดรอยสิว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่มีปัญหานี้เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว เพียงแต่ต้องเพิ่มการดูแลผิวอีกหลายขั้นตอน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจและสามารถวัดผลได้จริง โดยการทำทรีตเม้นต์หน้าที่ช่วยในการรักษารอยสิวที่นิยม ได้แก่ การลอกหน้าด้วยกรดผลไม้ (AHA Treatment) : การใช้กรด AHA เข้ามาช่วยเป็นตัวกระตุ้นในการผลัดเซลล์ผิว เพื่อให้เซลล์ผิวชั้นในสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น ช่วยให้จุดด่างดำหรือรอยสิวต่างๆ ดูจางลง
8. ผลิตภัณฑ์ช่วยรักษารอยดำจากสิว
การอักเสบของสิวทำให้เกิดปัญหารอยดำจากสิวอักเสบตามมา อีกหนึ่งวิธีการจัดการปัญหาและรักษารอยสิวที่ง่ายและสะดวก คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลปัญหารอยสิวที่มีประสิทธิภาพ ลดการเกิดสิวซ้ำซาก และเพิ่มความกระจ่างใสด้วย Eucerin Pro ACNE SOLUTION TRIPLE EFFECT SERUM ที่ช่วยลดสิว ลดรอยสิวแล้ว ยังสามารถควบคุมความมัน ลดการอุดตันของต่อมไขมันบนใบหน้า ทำให้ไม่เกิดสิวซ้ำขึ้นอีกด้วย จากคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้
- THIAMIDOL™ ไทอามิดอล สารไบรท์เทนนิ่งประสิทธิภาพดีที่สุดจากยูเซอริน ที่ช่วยตัดตอนรอยดำลึกถึงจุดกำเนิด ด้วยกลไกที่สำคัญที่สุด สำหรับลดเลือนจุดด่างดำต่างๆ ให้ดูลดเลือนได้มากถึง 75% และช่วยจบปัญหารอยดำและจุดด่างดำทุกประเภท ปรับให้ผิวดูกระจ่างใสใน 2 สัปดาห์
- Licochalcone A ช่วยลดอาการระคายเคืองและการอักเสบของผิว
- Salicylic Acid ช่วยสลายน้ำมันอุดตันในรูขุมขน ทำให้ลดการเกิดการอักเสบและป้องกันการอุดตัน สาเหตุของการเกิดสิว
- Sebum Regulation เทคโนโลยี ช่วยควบคุมความมัน ต้นตอของการเกิดสิว
9. ทาครีมบำรุงเพื่อกำจัดต้นเหตุของการเกิดรอยดำจากสิว
อีกหนึ่งวิธีลดรอยสิว รักษารอยสิว และป้องกันการเกิดใหม่ของสิวที่เป็นสาเหตุของรอยดำ ขอแนะนำ Pro ACNE SOLUTION DAY BRIGHT MATTIFYING SPF30 50 ML เป็นครีมบำรุงสำหรับกลางวันที่มีประสิทธิภาพในการช่วยดูแลปัญหารอยดำจากสิวที่เกิดขึ้นได้ เพราะมีส่วนผสมเข้มข้นดังนี้
- สาร Licochalcone A เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยปลอบประโลมผิวจากการอักเสบและปลอดภัยต่อผิวที่เป็นสิว
- นวัตกรรม Natural White Active ที่เข้ามาช่วยปรับสภาพผิวให้สว่างกระจ่างใสขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดสิวซ้ำ (Non-acnegenic) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน(Non-comedogenic) ทั้งยังช่วยลดการระคายเคืองจากปัจจัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
- ปกป้องผิวจากแสงแดดด้วย SPF30
10. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
หากลองตามวิธีข้างต้นแล้ว แต่รอยสิวยังไม่จางลง หรือมีอาการอักเสบมากขึ้น หรือมีรอยแผลเป็น แนะนำควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล
ป้องกันที่ต้นเหตุของการเกิดรอยสิว รอยดำจากสิว
1. ทานอาหารที่มีประโยชน์
การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ถือเป็นการช่วยลดรอยดำจากสิวที่เริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากภายใน โดยอาจเลือกทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากช่วยลดการอักเสบของสิวแล้วยังช่วยลดรอยดำจากสิวได้เช่นกัน
2. หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดดถือเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นให้รอยดำจากสิวเข้มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สีผิวบริเวณนั้นไม่สม่ำเสมอด้วย แนะนำให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดจัด โดยเฉพาะในช่วงเวลา 11.00-15.00 น. และทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพื่อช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและยังลดรอยดำและจุดด่างดำจากสิวได้ด้วย
3. มาส์กหน้าด้วยว่านหางจระเข้
การมาส์กหน้าด้วยว่านหางจระเข้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการอักเสบของสิว เพราะในว่านหางจระเข้นั้นมีสาร Aloesin ที่ช่วยลดการอักเสบ และมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยสมานแผล และรักษาความสมดุลของผิว และช่วยให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น
4. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เราควรดื่มน้ำวันละ 8-9 แก้วต่อวัน เพราะเป็นปริมาณที่ร่างกายควรได้รับ และการดื่มน้ำให้เพียงพอ จะช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น เติมเต็มความชุ่มชื้นให้เซลล์ผิวจากภายในสู่ภายนอก ทั้งยังช่วยขับสารพิษ และของเสียออกจากร่างกาย ช่วยลดการสะสมของเสียรวมถึงสารพิษในชั้นผิวหนังและช่วยให้รอยสิวแลดูจางลง
5. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอถือเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สามารถฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขึ้น ช่วยให้ร่างกายได้สร้างเซลล์ผิวใหม่เพื่อทดแทนเซลล์เก่าควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อง 8-9 ชม
6. หลีกเลี่ยงความเครียด
ความเครียดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวเครียดได้ ดังนั้นควรหาเวลาผ่อนคลาย ลดความเครียดอย่างการเล่นโยคะ นั่งสมาธิก็สามารถทำให้จิตใจของเราผ่อนคลายขึ้นได้
ดังนั้น เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาสิวอักเสบและปัญหารอยดำจากสิว ควรใส่ใจดูแลผิวหน้าตั้งแต่เนิ่น ๆ และเมื่อเป็นสิวควรรีบดูแลทันที อย่าปล่อยปัญหาทิ้งไว้เป็นเวลานาน เพราะจะทำให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้นจนดูแลรักษารอยสิวได้ยาก ซึ่งอีกหนึ่งวิธีลดรอยดำจากสิวที่สามารถทำได้คือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดรอยดำและป้องกันการเกิดรอยดำจากสิวได้อย่างตรงจุด พร้อมปรับสภาพผิวให้สว่างกระจ่างใส เรียกว่าตอบโจทย์การดูแลผิวได้อย่างแท้จริง