สาเหตุของโรค
ไม่ทราบแน่ชัด แต่มีความสัมพันธ์กับพันธุกรรม มักพบว่าคนในครอบครัวมีประวัติ ภูมิแพ้ร่วม
ด้วย ปัจจัยที่ทำให้โรคกำเริบ อาจเป็นจากอาหาร เช่น นม ไข่ ถั่ว หรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม
เช่น การสัมผัสสารบางประเภท เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสร ขนสัตว์ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของ
อากาศ เช่น ภาวะอากาศหนาว ทำให้ผิวแห้ง หรืออากาศร้อนมีเหงื่ออกมา รวมทั้งการสัมผัส
สารทีทำให้เกิดการระคายเคือง เช่น น้ำหอม ก็สามารถกระตุ้นให้ผื่นกำเริบได้
อาการของโรค
ถ้าเป็นช่วงเฉียบพลัน ผื่นจะมีลักษณะเป็นตุ่มน้ำใสแตกเป็นน้ำเหลืองแฉะ มีอาการคัน บางครั้ง
แกะเกาทำให้เกิดการติดเชื้อ แบคทีเรียซ้ำซ้อน เกิดมีตุ่มหนองร่วมด้วย ในช่วงเรื้อรังจะมี
ลักษณะเป็นปื้นหนา ลอกแห้งเป็นขุย หรือเป็นสะเก็ดผื่น
ถ้าเป็น ในวัยทารก โดยทั่วไปจะเริ่มมีอาการโดยเฉลี่ย ตอนอายุ 4 เดือน จะพบผื่นเป็น
บริเวณแก้ม ด้านนอกแขนขา ข้อมือ ข้อเท้า ในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ จะพบผื่นบริเวณคอ ข้อพับแขน
และขา การดำเนินโรคจะเป็นๆ หายๆ มีช่วงที่ผื่นกำเริบ ช่วงผื่นสงบ
การดูแลผิว
อันดับแรกควรหลีกเลี่ยงสารที่กระตุ้นให้ผื่นกำเริบ เช่น ฝุ่นละออง งดอาหารที่ทำให้แพ้ รวมถึง
ไม่อาบน้ำนาน ไม่อาบน้ำอุ่นจัด เลือกสารทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่ควรมีกลิ่นหอม ไม่ควร
ฟอกผิวมากเกินไป รวมทั้งขัดถูผิวรุนแรง และหลังอาบน้ำควรใช้ครีมบำรุงผิว (moisturizer)
บำรุงผิวหลังอาบน้ำทุกครั้ง ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง ควรทาครีมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่ม
ความชุ่มชื่นให้ผิว ไม่ควรใช้ครีมที่มีส่วนผสมของน้ำหอม
การสวมใส่เสื้อผ้า ควรเลือกชุดที่ไม่รัดแน่น มีการระบายของเหงื่อได้ดี ควรอยู่ในสถานที่ไม่ร้อน
หรือหนาวเกินไป และตัดเล็บให้สั้น อย่าแกะเกาผื่น ที่สำคัญที่สุด คุณต้องไม่เครียด
พักผ่อนให้เพียงพอเล็กน้อย